ไม่ว่าเสียงของคุณจะดีขนาดไหน ออกเสียงได้ชัดเจน เสียงหล่อ เสียงเลิศยังไง ลูกค้าไม่มีทางทราบได้ คุณจะต้องหาวิธีที่ให้ทุกคนเห็นว่าคุณเสียงคุณทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถดีไซน์เสียงได้กี่แบบ และเขาจะได้ยินเสียงของคุณได้อย่างไร
มีคนมากมาย ที่เริ่มมีความหวังที่จะทำอาชีพนี้ หรือทำงานพากย์เสียง แต่เค้าไม่รู้ว่าจะทำให้งานนี้เป็นจริงได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น มาดูกัน ดังนั้นให้เรามาดูกันว่าคุณจำเป็นต้องเตรียมตัวพร้อมได้อย่างไร
ขั้นที่ 1: การทำเดโม (voice demo)
หากคุณเรียนกับครู หรือ โคช ครูผู้สอนเกี่ยวกับด้านเสียง ก็แน่นอนว่า ครูผู้สอนจะมีแหล่งจัดหาสคริปต์ที่เหมาะสมสำหรับคุณได้ แล้วเค้าก็จะสามารถช่วยเอาเสียงของคุณไปเสนอให้ลูกค้าได้
หรือสามารถนำเสนอเสียงของคุณให้ออกมาได้ดีที่สุด และคุณก็มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกในงานได้เร็วกว่าการที่คุณจะหางานด้วยตัวเอง หากคุณยังต้องทำงานประจำหรือ เรียน ในวันเวลาทำการ
มันจำเป็นอย่างมากที่เสียงของคุณ ต้องมีคุณภาพ เสียงเดโมของคุณต้องมีเสียงที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ ที่จะทำให้เราได้งานหรือไม่ได้งานด้วย
ยกตัวอย่าง ถ้าตัวอย่างเสียงของอีกคน อัดเสียงผ่านไมค์อย่างดี กับอีกคน อัดผ่านมือถือมา คุณว่าแบบไหนจะได้ยินเสียงชัดเจนกว่ากัน และลูกค้าจะรู้สึกว่าใครคือมืออาชีพ?
อย่าทำผิดพลาดด้วยการคิดว่าคุณสามารถอัดอะไรก็ได้ให้ลูกค้าฟัง ให้คิดวิเคราะห์ว่า ลูกค้าต้องการน้ำเสียงแบบไหนกันแน่ เช่นลูกค้าต้องการเสียงทางการ ก็ควรส่งเสียงทางการให้เค้าฟัง ไม่ใช่ส่งเสียงสนุกสนานให้เค้าฟัง
ประการที่สอง เดโมที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่การมีสตูดิโอดีดี แล้วคุณจะอัดอย่างไรก็ได้
2เสียงเดโมที่ดีนั้น ต้องมีMood and Tone ที่ ตีโจทย์แบรนด์สินค้า ที่เรากำลังจะอัดให้แตกว่าเป็นสินค้าประเภทไหน สคริฟนี้เป็นเร่งยอดขาย หรือ เพื่อประชาสัมพันธ์ แค่สองแบบนี้ ก็ดีไซน์เสียงได้แตกต่างกันแล้ว
ถ้าคุณไปห้องอัด แล้วไม่มีครูผู้สอนช่วยดู คุณลองหาให้ซาวน์เอ็นจิเนียเป็นมืออาชีพด้านการควบคุมเสียง ช่วยฟังได้ (voiceover sound engineer) ห้องอัดบางห้อง สามารถช่วยฟังได้ แต่บางห้องก็ไม่กล้าคอมเม้นท์ ผู้ที่มาใช้บริการ
แต่ถ้าเราไม่มีใครช่วยฟัง เดโมที่ออกมาอาจจะฟังดูไม่มืออาชีพ มันจะทำให้คุณเป็นแค่เพียงนักพากย์มือสมัครเล่น ที่ใครก็ฟังออก
หากทำงานพากย์เสียงโดยไม่มีใครชี้แนะอาจไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุดหากแต่อาจเป็นการพยายามที่สูญเปล่า
การอัดเสียงเดโม ไม่จำเป็นต้องมีเสียงเพลงประกอบ หรือเสียงอื่นใดแทรกเลยก็ไค้
เพราะการใส่เสียงประกอบเข้าไป อาจเบี่ยงเบนการอ่านได้ เสียงอ่านอย่างเดียวหรือเสียงดิบต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพเสียงที่แท้จริง
สายโฆษณาตัวจริงส่วนใหญ่ จะให้มีแค่เสียงอ่านอย่างเดียว ( Cold read ) (คือไม่ต้องใส่เสียงประกอบใด ๆ) แต่มันก็ยังคงต้องรักษาคุณภาพ และต้องมีมาตรฐานด้วย เช่นไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีเสียงกระดาษ เสียงแทรกต่างๆ
อย่าลืมว่า ถึงแม้ว่าคุณเพิ่งจะเริ่มจับงานนี้ และหากคุณต้องการที่จะให้ลูกค้ามีความประทับใจในเสียงของคุณ ดังนั้น คุณก็ต้องดีไซน์เสียงให้ลูกค้าให้เหมาะสม
ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปทำเดโมและขายเสียงดูค่ะ:
- ทำสาธิตเสียงที่มีการอ่านในหลากหลายรูปแบบ (ที่คุณถนัด)
- ส่งเดโมไปตามห้องอัดต่างๆ
- โพสเสียงตัวอย่างที่หน้าเฟสบุคของตัวเอง
- ลงประกาศขายเสียงบนFast Work
เพียงเท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขายเสียงได้ค่ะ